ข่าวเศรษฐกิจ
หนังสือพิมพ์ The Financial Times รายงานว่าบริษัทจีนกว่า 200 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนได้ระงับการซื้อขายหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2558 เนื่องจากกังวลว่าสถานการณ์วิกฤตหนี้กรีซที่ทวีความตึงเครียดยิ่งขึ้นจะซ้ำเติมให้นักลงทุนเทขายหุ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ หลังจากในช่วงก่อนหน้านี้ ตลาดหลักทรัพย์จีนปรับลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ทางการจีนเข้มงวดกฎการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้นเพื่อป้องกันภาวะฟองสบู่ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2558 รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและปัญหาหนี้กรีซล้วนมีส่วนซ้ำเติมตลาดหลักทรัพย์จีน และแม้ว่าเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ทางการจีนได้ออกมาตรการชุดใหญ่เพื่อช่วยพยุงการดิ่งลงของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งรวมถึงการผ่อนคลายกฎในการกู้ยืมเงินไปลงทุน (Margin Loan) แต่ดัชนี Shanghai Composite Index ยังคงปิดในแดนลบในวันที่ 3 กรกฎาคม ทั้งนี้ มีการประเมินว่ามูลค่าตลาดหลักทรัพย์จีนลดลงแล้วเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมูลค่าของดัชนี Shanghai Composite Index ลดลงแล้วเกือบ 1 ใน 3 นับตั้งแต่ทำสถิติสูงสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จีนที่ลดลงต่อเนื่องจุดกระแสความกังวลว่าจะเป็นปัจจัยที่กระทบต่อกำลังซื้อและมีส่วนซ้ำเติมเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัว อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดว่าทางการจีนจะเข้าแทรกแซงอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างเสถียรภาพแก่ตลาดหลักทรัพย์ ล่าสุด รัฐบาลจีนประกาศตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งร่วมมือกับสถาบันการเงินและนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ในการเข้าซื้อหุ้นเพื่อพยุงตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่งผลให้ดัชนี Shanghai Composite Index ปิดเพิ่มขึ้น 2.41% ในวันที่ 6 กรกฎาคม (The Financial Times, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์, 7-8 ก.ค. 2558)