ข่าวเศรษฐกิจ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้เสนอให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากต่างชาติไปก่อนหน้านี้นั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2561 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่าจะจัดเก็บภาษีผลิตภัณฑ์เหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% ในสัปดาห์หน้า เพื่อปกป้องและฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของประเทศให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ระบุว่า สหภาพยุโรปจะดำเนินการตอบโต้อย่างรุนแรงและสมน้ำสมเนื้อเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทยุโรปที่ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ โดย EU เตรียมเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากสหรัฐฯ รวมถึงสินค้าแบรนด์ดังอย่างรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์ เดวิดสัน และกางเกงยีนส์ลีวายส์ จนทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาตอบโต้ว่าจะเรียกเก็บภาษีรถยนต์จาก EU ที่ทะลักเข้ามาในสหรัฐฯ เช่นกัน ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ได้กล่าวว่าจะตอบโต้สหรัฐ แต่กล่าวปกป้องอุตสาหกรรมของตน และระบุว่าญี่ปุ่นต้องการได้รับการยกเว้นจากการเก็บภาษีดังกล่าว ทั้งนี้ แม้สหรัฐฯ จะไม่ได้ระบุชัดว่าจะเก็บภาษีจากประเทศใดบ้าง แต่ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าบริษัทเหล็กจากจีนน่าจะเป็นเป้าหมายหลักในการเรียกเก็บภาษีครั้งนี้
สำหรับผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เห็นว่าการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าดังกล่าวจะกระทบต่อการส่งออกโดยรวมของไทยไม่มากนัก เพราะไทยจะส่งออกเหล็กเพียง 0.1% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด แต่ผู้ส่งออกเหล็กอาจจะได้รับผลกระทบพอสมควร เนื่องจากพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ถึง 20% ขณะที่อะลูมิเนียมมีสัดส่วนเพียง 0.01% ของมูลค่าส่งออกรวม และพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เพียง 6% จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก
อย่างไรก็ตาม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และองค์การการค้าโลก (WTO) ได้ออกแถลงการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่าแผนการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ดังกล่าว จะไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ และอาจทำให้ประเทศอื่นๆ ออกมาตรการตอบโต้ จนนำไปสู่สงครามการค้า (กรุงเทพธุรกิจ, 3-5 มี.ค. 2561)