Hot Issues

เหตุโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันในซาอุดีอาระเบีย...ชนวนสถานการณ์ความไม่สงบรอบใหม่ในตะวันออกกลาง

ประเด็นสำคัญ
- ซาอุดีอาระเบียประกาศระงับการผลิตของ Oil Processing Facilities 2 แห่ง หลังจากถูกโจมตีด้วยอากาศยานไร้คนขับ จนทำให้เกิดไฟลุกไหม้และได้รับความเสียหายอย่างหนัก
- การระงับการผลิตน้ำมันดังกล่าวมีปริมาณ 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตทั้งหมดของซาอุดีอาระเบีย หรือกว่า 5 % ของอุปทานน้ำมันดิบโลก
- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางตึงเครียดยิ่งขึ้นและได้จุดชนวนความกังวลในหลายด้าน


 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 บริษัท Saudi Aramco ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ต้องประกาศระงับการผลิตของ Oil Processing Facilities 2 แห่งในเขต Abqaiq และ Khurais ซึ่งเป็น Oil Processing Facilities ใหญ่ที่สุดอันดับ 1 และ 2 ของซาอุดีอาระเบีย หลังจากถูกโจมตีด้วยอากาศยานไร้คนขับ จนทำให้เกิดไฟลุกไหม้และได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งการระงับการผลิตน้ำมันดังกล่าวมีปริมาณ 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตทั้งหมดของซาอุดีอาระเบียที่ 9.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือกว่า 5% ของอุปทานน้ำมันดิบโลก ทำให้นักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะทะยานขึ้นทันที เนื่องจากซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางตึงเครียดยิ่งขึ้นและได้จุดชนวนความกังวลในหลายด้าน ดังนี้

สถานการณ์ทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ภายหลังการโจมตี Oil Processing Facilities ทั้งสองแห่งในซาอุดีอาระเบีย กลุ่มกบฏ Houthi ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในเยเมนได้ออกมาประกาศเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าว โดยใช้อากาศยานไร้คนขับ 10 ลำ โจมตี Oil Processing Facilities ทั้งสองแห่ง อย่างไรก็ตาม ทางการซาอุดีอาระเบียและสหรัฐฯ ไม่เชื่อว่าเป็นการโจมตีของกลุ่มกบฏ Houthi เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าการโจมตีมาจากเยเมน แต่เชื่อว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นมีอิหร่านอยู่เบื้องหลัง ขณะที่อิหร่านได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวทันที ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้ยังไม่มีความชัดเจนว่าใครอยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าว แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้จุดชนวนความขัดแย้งในภูมิภาคระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านขึ้นอีกครั้ง ซึ่งมีความเสี่ยงที่สถานการณ์อาจลุกลามและเกิดการตอบโต้ด้วยกำลังทางทหาร จนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ หากมีหลักฐานชี้ชัดว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีดังกล่าว อาจทำให้สหรัฐฯ ยกเลิกการผ่อนผันมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับสูงขึ้น

สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก
เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นได้บั่นทอนกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียไปกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตทั้งหมด ซึ่งทันทีที่ตลาดน้ำมันดิบเปิดทำการในวันที่ 16 กันยายน 2562 ราคาน้ำมันดิบได้ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 เดือน โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นทันที 20% แตะระดับ 71.05 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ US Light Sweet Crude ปรับขึ้นทันที 15% แตะระดับ 63.34 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันได้ลดความร้อนแรงลงก่อนปิดตลาด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve : SPR) เพื่อรักษาอุปทานน้ำมันในตลาดโลกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่าซาอุดีอาระเบียอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการซ่อมแซม Oil Processing Facilities ทั้งสองแห่งให้กลับมาผลิตน้ำมันได้ตามปกติ แต่หากกำลังการผลิตยังหายไปต่อเนื่องเกิน 6 สัปดาห์ ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มจะปรับขึ้นเหนือระดับ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

 ผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว
>> ภาพรวมพลังงานไทย
- ด้านราคา : ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศมีแนวโน้มปรับขึ้นในระยะข้างหน้า โดยราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้น 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทยปรับขึ้นราว 20 สตางค์ต่อลิตร
- ด้านปริมาณ : ซาอุดีอาระเบียเป็นแหล่งนำเข้าน้ำมันดิบราว 20% ของปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมดของไทย ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันของไทยที่นำเข้าน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียอาจต้องเปลี่ยนไปนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบอื่นทดแทน ขณะที่ปัจจุบันไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมด 54 วัน โดยไม่ประสบปัญหาภาวะขาดแคลนน้ำมันในประเทศ แบ่งเป็นปริมาณสำรองน้ำมันดิบในประเทศ 3,366 ล้านลิตร สำรองได้ 28 วัน ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 1,193 ล้านลิตร สำรองได้ 10 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1,848 ล้านลิตร สำรองได้ 16 วัน

>> กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
ในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นอาจกระทบผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทำให้ผู้ประกอบการปรับขึ้นราคาจำหน่ายได้เพียงบางส่วน อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของผลกระทบจะต่างกันในแต่ละธุรกิจ โดยธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่
- โรงกลั่นน้ำมันสำเร็จรูป : โรงกลั่นที่พึ่งพาน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียอาจต้องเตรียมแผนนำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศอื่นทดแทนและเผชิญต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น แต่อาจไม่ส่งผลต่อกำไรมากนัก เนื่องจากสามารถปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปได้ หากรัฐบาลไม่มีนโยบายตรึงราคาน้ำมันสำเร็จรูป
- ผู้ผลิตปิโตรเคมี : ต้นทุนวัตถุดิบปรับขึ้น และอาจมีอัตรากำไรลดลง เนื่องจากราคาจำหน่ายไม่สามารถปรับขึ้นได้ทันกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
- ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ : ต้นทุนการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้น
ในระยะยาว ราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นจะส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรที่มีน้ำมันเป็นต้นทุนในการผลิต อาทิ อุตสาหกรรมประมง อย่างไรก็ตาม สินค้าเกษตรบางประเภทอาจได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ราคามักมีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันในทิศทางเดียวกัน อาทิ ยางพารา และถั่วเหลือง

Related
more icon
Most Viewed
more icon
link อื่นๆ
  • Relate Preview
  • Relate Preview
Financial Products