เกร็ดการเงินระหว่างประเทศ
เมียนมายังไม่มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แต่มีการเก็บภาษีการค้า (Commercial Tax) กับสินค้าและบริการในประเทศ ผู้ประกอบการที่เข้าไปค้าขายหรือลงทุนในเมียนมาจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจระบบภาษีดังกล่าว ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 รัฐสภาเมียนมาได้ผ่านกฎหมาย Union Tax Law 2019 (UTL 2019) มีผลบังคับใช้ตามรอบปีงบประมาณ 2562/63 (1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2563) โดยมีการปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับภาษีการค้า รวมถึงรายละเอียดของภาษีอื่นในประเภทเดียวกัน คือ Specific Goods Tax และเพิ่มประเภทภาษีใหม่อย่างภาษีอัญมณีและเครื่องประดับ ดังนั้นบทความฉบับนี้จะพาผู้ประกอบการทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีดังกล่าวภายใต้กฎหมาย UTL 2019 ของเมียนมาเพื่อเป็นประโยชน์ในการเข้าไปทำธุรกิจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ภาษีการค้า (Commercial Tax)
-
การจัดเก็บและอัตราภาษี : เมียนมาเก็บภาษีการค้าในอัตรา 0-8% กับสินค้าและบริการในประเทศ
โดยพิจารณาจากประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้แก่ (1) การจำหน่าย (2) การนำเข้า และ (3) การผลิต สำหรับสินค้าทั่วไปส่วนใหญ่ถูกเก็บภาษีการค้าในอัตรา 5% ของราคาสินค้า มีเพียงสินค้า 42 รายการที่ได้รับการยกเว้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว ข้าวโพด น้ำมันปาล์ม ผลิตภัณฑ์นม และฝ้าย
สำหรับการส่งออกสินค้า เมียนมาจัดเก็บภาษีการค้ากับสินค้าส่งออก 2 รายการ ได้แก่ ไฟฟ้า (อัตรา 8%) และน้ำมันดิบ (อัตรา 5%) สำหรับภาษีการค้าในภาคบริการ เก็บในอัตรา 5% ของค่าบริการ โดยมีบริการ 32 รายการที่ได้รับการยกเว้น อาทิ ประกันชีวิต ธนาคาร ไมโครไฟแนนซ์ และบริการขนส่งสาธารณะ ทั้งนี้ หากธุรกิจมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการรวมต่อปีไม่เกิน 50 ล้านจ๊าต (ราว 1 ล้านบาท) จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้า ซึ่งคล้ายคลึงกับวิธีการเก็บภาษี VAT ของไทย ที่เก็บกับธุรกิจที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี เท่านั้น
สรุปการจัดเก็บภาษีการค้าของเมียนมา
ประเภท |
อัตราภาษีการค้า |
การผลิตสินค้าในประเทศ |
5% (ยกเว้นสินค้าบางประเภท) |
การจำหน่ายสินค้า |
5% (ยกเว้นสินค้าบางประเภท) |
การจำหน่ายเครื่องประดับทำจากทอง |
1% |
การนำเข้าสินค้า |
5% |
การส่งออกสินค้า |
เฉพาะน้ำมันดิบ อัตรา 5% และไฟฟ้า อัตรา 8% |
บริการ |
5% (ยกเว้นบริการบางประเภท) |
อสังหาริมทรัพย์ - การเช่าซื้อ - การขาย |
5% 3% |
การขอคืนภาษี : การขอคืนภาษีการค้าสามารถทำได้ในกรณีที่กิจการนั้นซื้อวัตถุดิบที่รวมภาษีการค้าแล้ว (ถือเป็น Input Tax) และมีการจ่ายภาษีการค้าจากสินค้าที่จำหน่ายออกไป (ถือเป็น Output Tax) โดยกิจการสามารถนำ Output Tax มาหักลบกับ Input Tax และขอคืนภาษีในส่วนที่จ่ายเกินไป อย่างไรก็ตาม กฏหมาย UTL 2019 ได้ยกเว้นการขอคืนภาษีสำหรับกิจการจำหน่ายเครื่องประดับที่ทำจากทอง ทำให้ธุรกิจดังกล่าวไม่สามารถทำการขอคืนภาษีได้เหมือนกรณีของสินค้าอื่นๆ
Specific Goods Tax (SGT)
-
การจัดเก็บและอัตราภาษี : เมียนมาแบ่งกลุ่มสินค้าพิเศษออกจากกลุ่มสินค้าทั่วไปที่เรียกเก็บภาษีการค้า และมีการกำหนดภาษีโดยเฉพาะหรือที่เรียกว่า Specific Goods Tax (SGT) โดยสินค้ากลุ่มดังกล่าว ได้แก่ บุหรี่ ใบยาสูบ ซิก้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม้ซุง ไม้แปรรูป ยานพาหนะ น้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งภาษี SGT สำหรับสินค้าดังกล่าวมีอัตราแตกต่างกันตั้งแต่ 5-60% นอกจากนี้ สินค้าบางรายการอย่างบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังมีการกำหนดอัตราภาษีย่อยแตกต่างกันตามราคาสินค้า ทั้งนี้ วิธีการเก็บจะพิจารณาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหมือนภาษีการค้า นั่นคือเก็บจากการนำเข้า การผลิต และการจำหน่าย ขณะที่การเก็บภาษี SGT กับการส่งออก มีเพียงสินค้าไม้ซุงและไม้แปรรูปเท่านั้น โดยเรียกเก็บในอัตรา 10%
-
การขอคืนภาษี : สินค้าที่อยู่ภายใต้ภาษี SGT จะทำการขอคืนภาษีได้เฉพาะกรณีกิจการที่เป็นภาคการผลิตเท่านั้น
ภาษีอัญมณีและเครื่องประดับ
กฎหมาย UTL 2019 ได้แยกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่มีอัญมณีเป็นส่วนประกอบออกมาจากเดิมที่เคยถูกจัดเก็บภายใต้ภาษี SGT และกำหนดขึ้นเป็นภาษีอัญมณีและเครื่องประดับโดยเฉพาะ โดยมีวิธีการจัดเก็บในรูปแบบเหมือนกันกับภาษี SGT และมีอัตราภาษี ดังนี้
ประเภทสินค้า |
อัตราภาษี |
หยกที่ยังไม่ได้เจียระไน |
11% |
ทับทิม ไพลิน และหินมีค่าอื่นๆ ยกเว้นเพชรและมรกต ที่ยังไม่ได้เจียระไน |
9% |
หยก ทับทิม ไพลิน และหินมีค่าอื่นๆ ยกเว้นเพชรและมรกต (เจียระไนแล้ว) |
5% |
เครื่องประดับและสินค้าที่ทำจากอัญมณี |
5% |
ทั้งนี้ แม้วิธีการจัดเก็บภาษีการค้ามีความคล้ายคลึงกับการเก็บภาษี VAT แบบทั่วไปในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขอคืนภาษี และกำหนดรายได้ขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของสินค้าที่ต้องเสียภาษีและที่ได้รับการยกเว้น รายละเอียดอัตราภาษี ไปจนถึงวิธีปฏิบัติของทางราชการเมียนมา ยังคงมีขั้นตอนและความซับซ้อนอยู่พอสมควร ผู้ประกอบการที่เข้าไปค้าขายหรือลงทุนจึงควรทำความเข้าใจ และควรดำเนินการให้ถูกต้องตามกฏหมายเมียนมาเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาทางกฎหมายในอนาคต
ที่เกี่ยวข้อง
-
มาตรการ COVID-19 ที่ควรรู้สำหรับผู้ประกอบการในเมียนมา
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในเมียนมานับว่ายังอยู่ในวงจำกัด โดยปัจจุบัน (ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในเมียนมามีอยู่เพียง 27 ราย ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำห...
30.04.2020 -
เมียนมาเปิดธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกรับการลงทุนต่างชาติ
ผ่านมากว่า 1 ปีแล้วที่เมียนมาปรับปรุงกฎหมายการลงทุนในธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกเพื่อเอื้อให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนได้อย่างเสรีมากขึ้น กฎหมายดังกล่าวมีผลอย่างมากต่อการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในเมียนมา เนื่องจากเปิดโอกาส...
01.10.2019
-
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างแรงงานในเวียดนาม
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เวียดนามประสบความสำเร็จในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) คือ การเป็นประเทศที่มีตลาดแรงงานขนาดใหญ่ ทำให้มีแรงงานจำนวนมากที่พร้อมทำงาน ประกอบกับมีค่าจ้างแรงงานที่ค่อนข้างต่ำ เวียดนา...
01.04.2019 -
เอกสารสำคัญที่ควรรู้ก่อนลงทุนใน สปป.ลาว
เมื่อผู้ประกอบการตัดสินใจออกไปลงทุนในต่างประเทศ การปฏิบัติตามขั้นตอนการขออนุญาตลงทุนเป็นเสมือนหน้าด่านที่จะสื่อให้เห็นถึงความตั้งใจในการปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศที่เข้าไปลงทุน ผู้ประกอบการจึงควรศึกษาให้ละเอียดและทำความเข...
01.07.2019 -
Q&A ประเด็นน่ารู้เกี่ยวกับการหาพื้นที่ลงทุนใน สปป.ลาว
การหาพื้นที่เพื่อตั้งกิจการนับเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการออกไปลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากแต่ละประเทศมีกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องที่ดินที่แตกต่างกัน ไม่เว้นแม้แต่ใน สปป.ลาว ที่เป็นตลาดบ้านใกล้เรือนเค...
01.04.2019